ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ความสุขในชีวิตคือ การมีการศึกษาสูงมีหน้าที่การงานดี มีฐานะและครอบครัวมั่นคง เมื่อย้ายเข้ามาศึกษาในกรุงเทพฯ โดยอาศัยอยู่กับญาติสนิท จนกระทั่งถึงปี 2529 ก็จบปริญญาตรี ข้าพเจ้าภูมิใจในตัวเองมาก และคิดว่าสิ่งนี้คงนำชีวิตให้ก้าวไปสู่จุดหมายที่หลัง แต่หลังจากหางานทำอยู่เกือบปี ความภูมิใจนั้นค่อยๆจางไปจากหัวใจ ภาวะไม่มีงานทำ ทำให้จิตใจว่างเปล่าไร้ที่หวัง ต่อมาญาติสนิทฝากให้ทำงานกับบริษัทท่องเที่ยว เพียงเพื่อฆ่าเวลาว่างและศึกษาภาษาอังกฤษไปในตัว แต่งานนี้ทำรายได้ให้แทบไม่น่าเชื่อ ข้าพเจ้าสามารถหาบ้านอยู่และมีเงินสะสม คุณแม่และพี่น้องก็มาอยู่ด้วย ภาระทุกอย่างภายในบ้านข้าพเจ้ารับผิดชอบหมด ชีวิตตอนนี้ไม้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว ใช้เงินโดยไม่ต้องคิดข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้คงทำให้มีความสุข ใช่สุข แต่สุขภายนอก ซึ่งเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ แต่ภายในจิตใจมีแต่ความทุรนร้อน ไม่สงบ ประกอบกับปัญหาภายในบ้าน และขาดสิ่งยึดมั่นในชีวิต นอกจากนั้นอารมณ์ฉุนเฉียวรุ่นแรงของข้าพเจ้าทำให้คนรอบข้างกระทบกระเทือน เหตุการณ์เหล่านี้หมุนเวียนรอบๆตัวข้าพเจ้าทุกวี่วัน ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เงินไม่สามารถช่วยให้จิตใจพบความสงบได้เลย ข้าพเจ้าเคยคิดหนีไปจากภาระรับผิดชอบแต่ก็ทำไม่ได้ ข้าพเจ้าต้องการสิ่งที่สามารถทำให้จิตใจเปลี่ยนแปลงยอมรับและมีความสุขในภาระที่แบกรับอยู่ แต่ข้าพเจ้ายังหาสิ่งนั้นไม่พบ และแล้ววันมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ข้าพเจ้าไม่เคยลืม คือวันที่ 5 สิงหาคม 2532 อายุข้าพเจ้าประมาณ 29 ปี มีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน 2 คนมาใช้บริการทัวร์ทางน้ำ โดยมีข้าพเจ้านำทาง เขายื่นหนังสือเล่มเล็กๆให้ ที่ปกเขียนว่า "ตรวจหัวใจ" ข้าพเจ้าเริ่มสนใจจึงเปิดอ่านและคิดถึงหัวใจตัวเอง ระหว่างทัวร์ชายที่ชื่อ Dennis (เดนนิส) เริ่มเล่าถึงชีวิตเขาว่า พบความสงบและสุขแท้อย่างไร เขาเริ่มอธิบายจากพระคัมภีร์ว่าพระบิดาเจ้าเป็นผู้สร้างคนทั้งโลกขึ้น และเราถูกแยกจากพระองค์เพราะบาป ซึ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ได้ มนุษย์มองหาทางกลับมาหาพระเจ้าโดยอาศัยลัทธิและศาสนาหลายๆแบบ แต่มีทางเดียวที่สามารถนำเรากลับสู่พระบิดาเจ้าได้ คือ ทางพระบุตร เขาอธิบายต่อว่า พระบิดาเจ้าทรงรักโลกและรักทุกๆคนในโลก พระองค์ต้องการให้เรากลับมาหาพระองค์แต่เพราะเรามีบาปเราจึงกลับมาหาพระองค์ไม่ได้ ดังนั้น พระองค์จึงส่งพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซู ผู้ไม่เคยมีบาปลงมาในโลกในรูปกายมนุษย์และถูกจับตรึงบนไม้กางเขนจนสิ้นใจและถูกนำศพไปฝังไว้ หลังจากนั้น 3 วันพระบิดาเจ้าได้ให้ชีวิตพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเดนนิสหันมาบอกว่า ตัวข้าพเจ้าเองมีบาปและทุกๆคนมีบาปถ้าต้องการสิ่งที่ขาดในหัวใจแล้วความสงบที่แท้จริง ทางเดียวคือข้าพเจ้าจะต้องได้รับการไถ่บาปและการยกโทษ และต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อบาปของข้าพเจ้า บาปของข้าพเจ้าได้รับการไถ่แล้วโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และข้าพเจ้าต้องรับพระองค์เข้ามาอยู่ในหัวใจและเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า หลังจากฟังคำอธิบายอยู่พักหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เข้าใจเท่าที่ควร แต่ภายในจิตสำนึกว่า นี่แหละสิ่งที่ขาดหายไปในหัวใจ คือความสงบ การยกโทษ และสิ่งยึดมั่น ข้าพเจ้าจึงถามเดนนิสว่า ทำอย่างไรถึงจะได้สิ่งนั้นมา ทำอย่างไรจึงจะติดต่อกับพระองค์ได้ เมื่อกลับถึงที่ทำงานข้าพเจ้าขอให้เดนนิสบอกวิธีติดต่อกับพระเจ้า เขาจึงเขียนคำอธิษฐานลงในกระดาษเพื่อขอให้พระองค์ยกโทษบาปให้ และรับเชื่อว่าพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาสิ้นพระชนม์เพื่อข้าพเจ้า คืนนั้นเองหลังจากทุกคนในบ้านหลับสนิท ข้าพเจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์ ขอให้พระองค์ยกโทษและเข้ามาอยู่ในชีวิตและหัวใจของข้าพเจ้า มาเป็นพระเจ้าประจำตัวข้าพเจ้า เป็นที่อัศจรรย์ หลังจากปฏิบัติดังนั้นแล้ว จิตใจของข้าพเจ้าเบาหวิวประดุจดังสิ่งหนึ่งถูกยกออกไป ความสงบเข้ามาจับอยู่ในจิตใจ นี่คือความสงบแท้ รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงานและขออนุญาตผู้จัดการโบสถ์ซึ่งทำให้เขาแปลกใจ จากนั้นเดนนิส ข้าพเจ้า และเพื่อนเขาได้ไปโบสถ์ด้วยกัน นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเข้าไปในโบสถ์ ได้เห็นหนุ่มสาวมากาย แต่ละคนมีหน้าตายิ้มแย้ม มีอัธยาศัยไมตรีดี ทุกคนร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างสดชื่นแจ่มใส บางคนมีน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความซาบซึ้งในความรักของพระองค์ ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อสายตาตนเองที่เห็นคนมากมายเป็นคริสเตียนในประเทศไทย รุ่งขึ้นวันจันทร์ ข้าพเจ้าเดนนิส และเพื่อนของเขาไปพัทยาเพื่อแจกหนังสือที่นั่น ทุกคนต่างก็รับด้วยความยินดีและอ่านด้วยความสนใจทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจยิ่ง และที่น่าอัศจรรย์คือ เมื่อเข้าไปแจกที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีพนักงานสตรีคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเราทำอะไรข้าพเจ้าได้อธิบายให้เธอฟัง ทันทีเธอร้องบอกว่า เธอต้องการรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของเธอด้วย ข้าพเจ้ายิ่งตื่นเต้นมากขึ้น เราแจกหนังสืออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับกรุงเทพฯ เดนนิสกับข้าพเจ้าใช้เวลาส่วนมากเรียนรู้พระคัมภีร์ โดยเดนนิสเป็นผู้อธิบาย หลังจากนั้นเขากับเพื่อนก็ออกจากกรุงเทพฯมุ่งสู่เวียดนามเพื่อเอาพระคริสตธรรมคัมภีร์ไปส่ง ประมาณ 1 สัปดาห์ เดนนิสกลับมาอีกครั้ง เราได้ใช้เวลาเรียนรู้เรื่องพระคัมภีร์และพระเยซูคริสต์ร่วมกันซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยของกันและกัน ข้าพเจ้าเริ่มสนในเขานิดๆ แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรต่อข้าพเจ้า และแล้ววันหนึ่ง เดนนิสขอข้าพเจ้าแต่งงาน "แต่งงาน" ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจ ข้าพเจ้าไม่เคยมีชายในดวงใจมาก่อน และคำนี้ไม่เคยเข้ามาในความคิดเลย อีกทั้งเคยยืนยันกับตัวเองว่าเมื่ออายุย่างเข้า 45 ปี จะบวชเป็นชีอยู่วัด ไปจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป หลังจากได้ยินคำนั้นแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นแผนการของพระเจ้า จึงตอบตกลงต่อเดนนิสง่ายๆ แต่งก็แต่ง คงเป็นเพราะข้าพเจ้าเชื่อในความเป็นคริสเตียนของเดนนิส และวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม 2532 เขาก็ให้แหวนหมั้นแก่ข้าพเจ้า และสัญญาจะแต่งงานด้วยกัน หลังจากนั้น เดนนิสก็บินกลับอเมริกา โดยสัญญาว่าจะกลับมารับข้าพเจ้าไปแต่งงาน ข้าพเจ้าไม่เคยปริปากบอกใครจนกระทั่งวันที่ 11 ตุลาคม 2532 เดนนิสกลับมาตามสัญญา เขาบอกว่าจะพาข้าพเจ้าไปแต่งงานที่อเมริกา แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่สามารถไปอเมริกาได้ เราก็จะแต่งงานกันอย่างแน่นอน เราอธิษฐานด้วยกันเสมอๆ ขอให้พระองค์จงช่วยให้ทุกอย่างเป็นไปตามปรารถนา และด้วยแรงอธิษฐานทุกอย่างเป็นไปได้อย่างง่ายดายแทบไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ข้าพเจ้าจึงมีความเชื่อมากขึ้นและเริ่มอธิษฐานมากขึ้น พระองค์สำแดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของพลังอธิษฐานและความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ และแล้วข้าพเจ้าก็ได้อยู่ที่อเมริกา ดินแดนที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครที่ข้าพเจ้ารู้จักนอกจากเดนนิสแต่ภายในของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์และเชื่อในวาจาของเดนนิส ข้าพเจ้าได้พบครอบครัวคริสเตียนมากมายทุกคนต้อนรับและแสดงความรักต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพบพี่น้องใหม่และครอบครัวใหม่ในพระเจ้า ในที่สุดวันสำคัญของเราก็มาถึงคือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2532 เราได้มีพิธีแต่งงานขึ้นที่ปาล์มสปริง รัฐแคลิฟอร์เนีย จากนั้นเราย้ายมาอยู่ที่โอไฮโอ ถิ่นเกิดของเดนนิส กุมภาพันธ์ 2534 เรากลับมากเมืองไทยเพื่อครอบครัวข้าพเจ้าจะได้เห็นเดนนิส ข้าพเจ้าใช้เวลาบางส่วนอธิบายถึงชีวิตใหม่ในพระคริสต์กับพวกเขา และจากการที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวข้าพเจ้าทำให้คนในครอบครัว 5 คนสนใจที่จะให้พระเยซูคริสต์นำชีวิตของเขาด้วย ขณะนี้ข้าพเจ้าสุขใจกับชีวิตใหม่ในพระเยซูและรู้แน่ว่า
ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเขียนเรื่องของข้าพเจ้าเพื่อท่านจะได้มีโอกาสรู้เรื่องพระเยซูคริสต์และเปิดหัวใจให้พระองค์ เพื่อบาปของท่านจะได้รับการยกโทษและท่านจะได้ไปสู่สวรรค์หลังจากชีวิตสิ้นสุดลง พระคัมภีร์กล่าวว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้เกิดใหม่ในพระคริสต์เขาผู้นั้นไม่สามารถไปสู่สวรรค์ได้ ผู้ที่รับพระเยซูคริสต์และเชื่อในนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ และพระเยซูย้ำอีกว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา" ถ้าท่านต้องการรับพระเยซูคริสต์เข้ามาช่วยในชีวิตของท่าน
และต้องการมีชีวิตนิรันดร์ท่านต้อง เมื่ออธิษฐานดังนี้แล้ว พระองค์จะทรงยกโทษให้และตอบคำอธิษฐานโดยเข้ามาอยู่ในชีวิตของท่าน เป็นเพื่อนท่าน ตอนนี้ท่านได้เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว ชีวิตได้เปลี่ยนแล้ว ท่านต้องอธิษฐานติดต่อกับพระองค์เสมอๆ และให้พระองค์นำพาชีวิตทุกๆวัน พระองค์จะสอนท่านว่าควรทำอย่างไรในการดำรงชีวิตคริสเตียนและชูช่วยท่านในทุกทางข้าพเจ้าเองก็ยินดีช่วยท่านพัฒนาชีวิตคริสเตียนของท่าน กรุณาเขียนจดหมายถึงข้าพเจ้าตามที่อยู่ข้างล่างนี้หลังจากอธิษฐานแล้ว และข้าพเจ้าจะส่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ซึ่งจะช่วยให้ท่านรู้จักพระเจ้า และหนังสืออื่นๆที่จะช่วยท่านในการเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนมาให้ท่านฟรี พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าและครอบครัวจะอธิษฐานเพื่อท่านทุกๆวันด้วยความรัก
|